คุณจะสามารถรับมือกับความผันผวนในการลงทุน ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมไปถึงความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ที่บอกว่าแนวคิดในการลงทุนชัดเจน หมายความว่าอย่างไร?
ผมจะยกตัวอย่างการลงทุนของผมเอง โดยผมจะแบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็น 2 พอร์ตใหญ่ๆ
ส่วนพอร์ตย่อยๆ คงไม่ลงรายละเอียด เพราะแนวคิดหลักในการลงทุนนั้นคือ 2 พอร์ตใหญ่นี้แหละ
1. พอร์ตที่เน้นลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาว
คือการที่ผมเลือกแล้วที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ที่ไม่อ่อนไหวต่อความผันผวนในระยะสั้น
นั่นคือดูพื้นฐานหลายๆอย่างของหลักทรัพย์นั้นเป็นปัจจัยหลัก โดยไม่อ่อนไหวไปกับความตื่นตระหนกตกใจและอารมณ์นักลงทุนในตลาดฯ
สมมติง่ายๆว่าถ้าผมหลับยาวในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วผมตื่นขึ้นมา ผมอาจจะงงว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนถึงโวยวายกันเรื่องหุ้น ก็เพราะมันแทบไม่มีผลกระทบอะไรกับพอร์ตของผมเลย
การลงทุนลักษณะนี้คือผมแบ่งสัดส่วนการลงทุนในแต่ละประเภทสินทรัพย์อย่างเหมาะสมต่อเป้าหมายที่ผมต้องการในระยะยาว
ความสำคัญคือ #ลงทุนเพิ่มอย่างสม่ำเสมอและมีวินัย
แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ละเลยที่จะปรับปรุงพอร์ตอย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน โดยพิจารณาจากพื้นฐานที่ผมใช้ในการตัดสินใจ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานของตัวหลักทรัพย์เอง หรือพื้นฐานของอุตสาหกรรม รวมไปถึงพื้นฐานของเศรษฐกิจโดยรวม
เมื่อตลาดยังคงเป็น efficient market วิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ๆที่กระทบกับตลาดอย่างรุนแรงจะไม่ค่อยมีผลกระทบกับโครงสร้างการลงทุนเพื่อเป้าหมายที่มีการลงทุนอย่างสม่ำเสมอและมีวินัย
ตัวอย่างคือตลาดหลักทรัพย์ไทย ในระยะเวลา 40 ปี มีวิกฤตใหญ่ที่เป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกมากระทบ 3 ครั้ง ก็ยังคงให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7-8% สำหรับคนที่ลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่าเดิมทุกๆปี
พอร์ตนี้ไม่เน้นความโลภ แต่เน้นเป้าหมายครับ
2. พอร์ตที่เน้นเก็งกำไร
ผมจะเน้นการซื้อหุ้นเมื่อผมมองว่าราคามันถูก ขายเมื่อพอใจกำไร
พอร์ตนี้เป็นพอร์ตที่ไม่สำคัญมาก สามารถยอมรับได้หากไม่เป็นไปตามคาดหวัง
การวิเคราะห์หุ้นที่จะซื้อผมก็ยังแอบมองพื้นฐานของมันอยู่ดี แต่มีข้อมูลเชิง technical มาใช้มากขึ้น
หุ้นที่จะซื้อต้อง #ราคาถูกอย่างมีเหตุผล หมายถึง ถ้าราคามันจะขึ้น มันก็ต้องขึ้นได้อย่างมีเหตุผล
แต่ผมจะบอกว่าพอร์ตนี้ผมเอาเงินออกมาอยู่ใน cash ได้ซักระยะนึงแล้ว หลังจากทำกำไรมาได้ตามที่ต้องการ เป็นที่พอใจ ไม่ได้มากมายอะไร
คือคุณต้องเข้าใจก่อนว่า ตลาดหลักทรัพย์นั้นมีชีวิต มีชีวิตจากผู้ที่เข้ามาเก็งกำไรในตลาดนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ รายใหญ่หรือรายย่อย กองทุนหรือบุคคล ซึ่งมีชีวิตจิตใจ มีอารมณ์ความรู้สึก มี bias
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าคนที่เข้ามาเก็งกำไรในตลาดนั้น มี overconfidence bias เพราะหวังที่จะชนะตลาด
แต่การเก็งกำไรในตลาดคือ zero sum game มีคนชนะมีคนแพ้ ไม่มีทางที่ทุกคนจะเป็นผู้ชนะหมด จึงต้องมีคนจำนวนนึงต้องได้รับผลจาก overconfidence bias
ตัวผมเองเอาเงินมาเก็บไว้ใน cash เพราะรู้ตัวว่าในช่างหลังนี้ ผมไม่มีเครื่องมือ เวลา และปัจจัยเกื้อหนุนเพียงพอที่จะเอาชนะตลาดได้ การรับรู้นี้มันจึงกรองตัวผมเองออกจากตลาดในด้านการเก็งกำไร
การเก็งกำไรในตลาดฯ นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลได้ไม่เท่ากัน ความรวดเร็วในการรับข้อมูลก็ไม่เท่ากัน และก็มีบางคนที่ไม่เลือกวิธีในการสร้างกำไร ไม่ว่าวิธีนั้นจะดีหรือเลว
ดังนั้น เมื่อคุณชนะคุณดีใจ แต่เมื่อคุณแพ้คุณต้องพิจารณาด้วยว่าตอนนั้นคุณมีดีอะไรที่จะเอาชนะตลาดได้
ถ้าคุณขยำเงินลงทุนทั้งหมดไว้ในการลงทุนรูปแบบเดียว ต่อให้คุณกระจายการลงทุนไปในหุ้นกี่สิบตัว มันก็เป็นแค่การกระจายความเสี่ยง แต่มันยังไม่ใช่การบริหารการลงทุนในชีวิตที่ดีพอ
ถ้าคุณต้องการที่จะเอาเงินจากการลงทุนไปใช้เพื่อเรื่องต่างๆในอนาคต
ผมแนะนำให้คุณแยกให้ชัดเจนว่า พอร์ตแบบไหน ใช้แนวคิดแบบไหน และลงทุนไปเพื่ออะไร
แล้วคุณจะลงทุนอย่างเป็นสุขมากขึ้นได้ครับ