• หน้าแรก
  • เกี่ยวกับเรา
    • ภาพรวม
    • ทีมวิทยากร
  • หลักสูตรอบรม
    • หลักสูตรอบรมการวางแผนการเงิน CFP®
    • Module 1
    • Module 2 หลักสูตรเดิม
    • Module 2 หลักสูตรปรับปรุงใหม่
    • Module 3
    • Module 4
    • Module 5
    • Module 6
    • หลักสูตรเตรียมความพร้อมเพื่อสอบ
    • Module 1
    • Module 2 หลักสูตรเดิม
    • Module 2 หลักสูตรปรับปรุงใหม่
    • Module 3
    • Module 4
    • Module 5
    • Module 6
    • E-Learning
    • ทบทวนหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP®
    • เตรียมสอบหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP®
    • เตรียมสอบใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุน IC
    • เพิ่มความรู้และทักษะการเงิน
  • อบรมภายในองค์กร
    • หลักสูตรอบรมภายในองค์กร (In-House)
  • สมัครอบรม
    • หลักสูตรอบรมและทบทวนการวางแผนการเงิน
    • คอร์สเรียนออนไลน์ E-Learning
  • ปฏิทิน
  • กิจกรรม
  • ข้อมูลควรรู้
    • บทความ
    • Investment Planner (IP)
    • Investment Consultant (IC)
    • About CFP
    • คุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP®
      • ข้อกำหนดด้านการศึกษา
      • ข้อกำหนดด้านการสอบ
  • ความประทับใจ
  • ติดต่อเรา

เงินฉุกเฉิน กับ เงินเก็บ ต่างกันยังไง?

Post Title
27 ม.ค. 2568
ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การบริหารจัดการเงินอย่างรอบคอบถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตมั่นคงและลดความเครียดทางการเงิน หลายคนอาจสับสนระหว่าง "เงินฉุกเฉิน" และ "เงินเก็บ" ซึ่งแม้จะดูคล้ายกัน แต่มีจุดประสงค์และวิธีการเก็บที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน มาทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมให้การเงินของคุณเป็นระบบมากขึ้นกันดีกว่า!

เงินฉุกเฉิน: กันชนสำคัญของชีวิต
เงินฉุกเฉินเปรียบเสมือน เกราะป้องกัน ในวันที่ชีวิตต้องเผชิญกับสถานการณ์ไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็นการตกงาน เจ็บป่วย หรือเหตุการณ์เร่งด่วนที่ต้องใช้เงินโดยด่วน เงินก้อนนี้จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับปัญหาได้โดยไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือเงินเก็บเพื่ออนาคต
ควรมีเงินฉุกเฉินเท่าไหร่?
  • สำหรับพนักงานประจำ: ควรมีเงินฉุกเฉินสำรองไว้ อย่างน้อย 3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถใช้ชีวิตได้ในช่วงเวลาที่อาจไม่มีรายได้เข้ามา
  • สำหรับฟรีแลนซ์ หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ: ควรสำรองเงินไว้ อย่างน้อย 6-12 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน เพราะรายได้อาจไม่แน่นอน จำเป็นต้องมีเงินก้อนเพื่อความอุ่นใจ
เคล็ดลับการเก็บเงินฉุกเฉิน:
  • เก็บในที่ที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น บัญชีออมทรัพย์ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมในการเบิกถอน
  • เลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะอาจทำให้เงินหายไปในเวลาที่ต้องการใช้
  • ตรวจสอบและปรับยอดเงินฉุกเฉินให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
ประโยชน์ของเงินฉุกเฉิน:
  • ลดความเครียดเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
  • ป้องกันการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น
  • ช่วยให้การเงินของคุณมีเสถียรภาพมากขึ้น


เงินเก็บ: ก้าวแรกสู่เป้าหมายในอนาคต
หากเงินฉุกเฉินคือการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน "เงินเก็บ" ก็คือเงินที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายในชีวิตอย่างมีแบบแผน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือการวางแผนเกษียณอายุ เงินก้อนนี้ควรได้รับการจัดสรรอย่างชาญฉลาด และสามารถเลือกวิธีการเก็บที่สอดคล้องกับเป้าหมายและระยะเวลาที่ต้องการใช้เงิน
เป้าหมายการเก็บเงินแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ๆ:
  1. ระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี): เช่น เก็บเงินสำหรับทริปท่องเที่ยว หรือซื้ออุปกรณ์ใหม่ ๆ
  2. ระยะกลาง (2-5 ปี): เช่น ซื้อรถ ดาวน์บ้าน หรือเรียนต่อ
  3. ระยะยาว (5 ปีขึ้นไป): เช่น วางแผนเกษียณอายุ หรือการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
วิธีการออมเงินให้เหมาะสมกับเป้าหมาย:
  • บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง – เหมาะสำหรับเป้าหมายระยะสั้น
  • กองทุนรวมตราสารหนี้/กองทุนผสม – เหมาะสำหรับเป้าหมายระยะกลางที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงินปกติ
  • หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ – เหมาะสำหรับการเก็บระยะยาวที่มองหาการเติบโตของเงินทุน
ข้อดีของการมีเงินเก็บ:
  • สร้างความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงิน
  • ช่วยให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตตามแผนที่ตั้งไว้
  • ลดภาระทางการเงินในอนาคต


วางแผนอย่างไรให้ทั้งมีเงิน "ฉุกเฉิน" และ "เก็บออม"
เพื่อให้การเงินเป็นไปอย่างสมดุล คุณควรจัดสรรเงินให้ครอบคลุมทั้งสองส่วนโดย:

  1. เริ่มจากเงินฉุกเฉินก่อน – เพราะเป็นพื้นฐานของความมั่นคง
  2. วางแผนเงินเก็บตามเป้าหมาย – ค่อย ๆ สะสมและเลือกวิธีเก็บที่เหมาะสม
  3. ประเมินสถานะการเงินอย่างสม่ำเสมอ – เพื่อให้แน่ใจว่าเงินที่เก็บไว้ยังตอบโจทย์ความต้องการ
การมีทั้งเงินฉุกเฉินและเงินเก็บที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณพร้อมเผชิญทุกสถานการณ์ และเดินหน้าสู่เป้าหมายทางการเงินได้อย่างมั่นใจ!


Search our Blog

Recent Posts

Categories

Archive

  • CMSK
    Center of Money Skills and Knowledge.