เราทุกคนควรตระหนักว่าช่วงบั้นปลายชีวิตจะต้องเผชิญภาวะที่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน
แต่ความสามารถในการทำงานหาเงินอาจจะลดลงหรือไม่มีเลย ซึ่งหลายคนเรียกช่วงอายุนี้ว่าวัยเกษียณ เพราะฉะนั้น การวางแผนเตรียมเก็บเงินให้เพียงพอไว้ใช้ในวัยเกษียณจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ขณะที่คนส่วนใหญ่ประเมินความต้องการใช้เงินในช่วงเกษียณน้อยเกินไปหรือไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย จึงไม่มีการวางแผนที่มีประสิทธิภาพ จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอและเมื่อวัยเกษียณมาถึงเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว
ความสำคัญของการวางแผนเกษียณยิ่งเด่นชัดขึ้น เมื่อพิจารณาถึงภาวะเงินเฟ้อเฉลี่ยในประเทศไทยปีละประมาณ 3.5% หมายถึงราคาสินค้าจะแพงขึ้น 2 เท่าในระยะเวลาประมาณ 20 ปี ขณะที่ระบบการเก็บออมเพื่อการเกษียณแบบบังคับในปัจจุบัน เช่น กองทุนประกันสังคมที่ให้ลูกจ้างเก็บเงินเข้ากองทุนชราภาพรวมกับส่วนของนายจ้างเพียงเดือนละ 900 บาท ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็เป็นลักษณะสมัครใจ บางบริษัทไม่มีให้พนักงานหรือมีให้แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการ อีกทั้งอายุขัยของเรายาวนานขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เวลาที่จำเป็นต้องใช้เงินยาวนานขึ้นไปอีก
ที่จริงแล้วหลักการวางแผนเกษียณไม่ใช่เรื่องซับซ้อนมากนัก และในปัจจุบันมีเครื่องมือเช่นโปรแกรมการคำนวณแผนเกษียณด้วยตนเองเช่น ในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ หรือมีมืออาชีพอย่างนักวางแผนการเงินที่จะช่วยได้ โดยขั้นตอนที่สำคัญก็คือ การคำนวณจำนวนเงินที่ต้องใช้ ณ วันเกษียณอายุแล้วจึงวางแผนว่า จำนวนเงินที่ต้องเก็บในปัจจุบันในช่วงที่เรายังมีรายได้อยู่เป็นเท่าไหร่ แต่ปัจจัยที่สำคัญที่จะส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายคือ ระเบียบวินัยการเก็บออมอย่างต่อเนื่อง และการเลือกสินทรัพย์การลงทุนที่เหมาะสมกับอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ตลอดเวลาเก็บออมและช่วงหลังเกษียณ อีกทั้งการพิจารณาถึงสภาพคล่องในการขายสินทรัพย์ เมื่อต้องการเปลี่ยนเป็นเงินสดมาใช้ในช่วงเกษียณอายุ
เนื่องจากการเก็บออมเพื่อการเกษียณเป็นเป้าหมายระยะยาว จึงควรเน้นการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์การลงทุนต่างๆ ประกอบไปด้วย ตราสารทุน ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ และอื่นๆ จึงมักจะมีคำถามว่า การทำประกันชีวิตนั้นมีบทบาทในการวางแผนเกษียณด้วยหรือไม่อย่างไร เพราะมีการประชาสัมพันธ์เรื่องการทำประกันชีวิตเพื่อวัยเกษียณ และประกันบางประเภทมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการเกษียณโดยตรง เช่นประกันแบบบำนาญเป็นต้น
การลงทุนเพื่อการเกษียณนั้นมักจะเป็นรูปแบบที่ใช้เวลายาวนานเช่น 15 หรือ 20 ปีขึ้นไป และเป็นการเก็บออมทีละน้อย อย่างสม่ำเสมอ ทำให้มีรูปแบบคล้ายคลึงกับการทำประกันชีวิตที่ต้องมีการจ่ายเบี้ยเป็นประจำเป็นระยะเวลานาน ประกอบกับ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์มีเงินก้อนให้ผู้ทำประกันเมื่อครบอายุ หรือประกันแบบบำนาญ มีเงินคืนให้เป็นประจำทุกปีในช่วงที่หยุดชำระเบี้ยแล้ว ทำให้การทำประกันมีลักษณะที่สอดคล้องกับการลงทุนเพื่อการเกษียณในหลายประเด็น
เราลองมาดูตัวอย่างกรณีศึกษา ที่จะแสดงให้เห็นถึง ข้อดี ข้อจำกัด ของการวางแผนลงทุนเพื่อการเกษียณ โดยนำการทำประกันชีวิตมาประกอบด้วย (ดูรูปประกอบ) ในกรณีนี้สมมติให้ชายคนหนึ่ง อายุ 35 ปี ต้องการเกษียณ ณ อายุ 60 ปี และประมาณอายุขัยไว้ที่อายุ 85 ปี เนื่องจากปัจจุบันเขามีรายจ่ายประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นปีละ 360,000 บาทต่อปี ถ้า ณ วัยเกษียณ เขาต้องการใช้จ่ายในลักษณะเดิม ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ คำนวณได้ว่า เขาต้องมีค่าใช้จ่ายปีละประมาณ 852,500 บาท ณ เวลาเริ่มต้นเกษียณ
สังเกตว่าค่าใช้จ่ายในช่วงหลังเกษียณนั้นควรจะเพิ่มขึ้นทุกปี(ตามเงินเฟ้อ)ด้วย เพราะฉะนั้นแผนเกษียณที่เตรียมเงินไว้ใช้ปีละเท่าๆกัน เช่นในกรณีของประกันแบบบำนาญที่มีลักษณะการจ่ายเงินออกมาให้ปีละเท่าๆกัน อาจจะไม่เพียงพอเมื่อเวลาผ่านไป เช่นในกรณีนี้ เขาทำประกันแบบบำนาญซึ่งชำระเบี้ยปีละ 24,000 บาทจนถึงอายุ 60 ปี แล้วจึงได้เงินบำนาญทุกปี ปีละ 42,500 บาท ทำให้ไม่เพียงพอในปีแรกและส่วนที่ขาดจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต จากรูปประกอบจะเห็นได้ว่าในปีแรกหลังเกษียณ เขาต้องการเงินอีก 810,000 บาท และต้องการเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อทุกปี
เพื่อแก้ไขข้อจำกัด เขาวางแผนลงทุนในพอร์ตการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี โดยเริ่มลงทุนเดือนละ 10,900 บาทต่อเดือน หรือ 130,000 บาทต่อปี และมีการเพิ่มจำนวนเงินลงทุนอีกปีละ 5% ตามรายได้ของเขาที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นในแต่ละปี พอร์ตลงทุนนี้มีเป้าหมายเป็นจำนวนเงินประมาณ 16.2 ล้านบาท เมื่อเขามีอายุ 60 ปี ซึ่งจะเพียงพอสำหรับการนำมาใช้จ่ายตลอดวัยเกษียณร่วมกับเงินจากประกันบำนาญที่ได้รับเพิ่มเติม
สังเกตว่าถ้าเป็นการเก็บออมผ่านประกันชีวิตทั่วไปซึ่งมักจะเป็นการชำระเบี้ยเท่าๆกันทุกปี ไม่ได้เพิ่มขึ้น อาจจะทำให้ต้องมีการวางแผนทำประกันเพิ่มเติมเมื่อเวลาผ่านไปและมีรายได้เพิ่มขึ้น และอีกประเด็นที่สำคัญคืออัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปีนั้น ไม่สามารถได้จากการทำประกันเพียงอย่างเดียว เพราะอัตราผลตอบแทนจากประกันสะสมทรัพย์ทั่วไปและประกันบำนาญเฉลี่ยประมาณ 2% ต่อปีเท่านั้น
จากตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าด้วยแผนการลงทุนควบคู่ไปกับการทำประกันบำนาญ ชายคนนี้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ คือสามารถมีเงินใช้ไปจนสิ้นอายุขัยที่อายุ 85 ปี โดยสินทรัพย์ในพอร์ตลงทุนนั้นอาจจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวมหลายๆประเภท เพราะจะได้ประหยัดเวลาเนื่องจากมีมืออาชีพบริหารให้ อย่างไรก็ตามเขาต้องเลือกกองทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ
เนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวมนั้นจะไม่มีข้อบังคับชัดเจน ว่าต้องลงทุนเป็นประจำ อาจจะทำให้ไม่ทำตามแผนที่วางไว้ได้ การทำประกันสะสมทรัพย์หรือประกันบำนาญจะช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดวินัยในการเก็บออม เพราะการไม่ชำระเบี้ยประกันตามกำหนดจะทำให้ต้องเสียผลประโยชน์มากกว่า ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในกองทุนรวมทั่วไปที่ไม่มีข้อกำหนดแบบนี้
นอกจากนี้ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินของประกันจะแน่นอน เช่น ชายคนนี้จะได้รับเงินปีละ 42,500 บาท ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ ในขณะที่การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ อาจให้ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอนจึงเป็นการประมาณการณ์ตามข้อมูลที่ผ่านมาในอดีตเท่านั้น หรืออาจมองได้ว่าจะทำประกันเป็นการบริหารความเสี่ยงของแผนเกษียณโดยรวม เพราะเป็นการกระจายเงินลงทุนไปสู่รูปแบบการบริหารเงินออมที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า
ประเด็นที่เพิ่มเติมคือ การวางแผนเกษียณควรทำควบคู่ไปกับบริหารความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาพยาบาลในอนาคต โดยการทำประกันสุขภาพควบคู่กันไปด้วย ในกรณีนี้การทำประกันแบบบำนาญไปพร้อมๆกับการลงทุนจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปบางส่วนเนื่องจากผู้เอาประกันสามารถทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมไปในกรมธรรม์แบบบำนาญ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำประกันหลักฉบับใหม่เพิ่มเติมที่บริษัทประกันชีวิตมักจะมีข้อกำหนดให้ทำควบคู่ไปกับสัญญาเพิ่มเติมด้านสุขภาพ
ข้อควรคำนึงที่สำคัญอีกเรื่องคือผลประโยชน์จากการหักลดหย่อนภาษี กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป และประกันแบบบำนาญ สามารถนำเงินลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไขของสรรพากร เราจึงควรวางแผนเพื่อใช้ประโยชน์ด้านนี้ด้วย เช่น การจัดพอร์ตการลงทุนในกองทุนรวม ควรพิจารณา RMF และ LTF แทนที่จะเป็นกองทุนรวมทั่วไป ถ้าอัตราผลตอบแทน ความเสี่ยง และเงื่อนไขสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการ
แผนเกษียณในตัวอย่างที่ยกมานั้น สามารถประยุกต์ใช้กับประกันแบบสะสมทรัพย์อื่นๆ ซึ่งจะให้ผลที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีรูปแบบการทำประกันชีวิตควบการลงทุน ซึ่งจะทำให้แก้ข้อจำกัดในเรื่องผลตอบแทนและความยืดหยุ่นของการนำเงินออกมาใช้ ส่งผลให้การวางแผนเพื่อสอดคล้องกับระยะเวลาทำได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สรุปได้ว่าการทำประกันชีวิตสามารถเติมเต็มการวางแผนเกษียณได้ในบางประเด็นที่การลงทุนไม่สามารถตอบโจทย์ได้เช่น ช่วยเพิ่มความมั่นใจในเรื่องระเบียบวินัยสำหรับแผนระยะยาว ให้ผลตอบแทนในอนาคตเป็นตัวเงินที่ชัดเจน และความสะดวกและประหยัดในการทำประกันสุขภาพควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้เราควรมีการวางแผนอย่างถี่ถ้วนด้วยการศึกษาข้อมูลหรือปรึกษานักวางแผนการเงินมืออาชีพ เพื่อให้แผนเกษียณมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายตามต้องการครับ