คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกย่อมคาดหวังให้ลูกได้มีการศึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่คุณพ่อคุณแม่จะมีกำลังผลักดันและส่งเสริมได้
ซึ่งเงินทุนที่ต้องใช้สำหรับการศึกษาของลูกนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องสำคัญ
ค่าเล่าเรียนหรือค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษามีแนวโน้มสูงขึ้น
โดยจากอดีตที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อในส่วนของค่าเล่าเรียนมีระดับที่ไม่น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และไม่น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่รวมกลุ่มอาหารและพลังงานที่ค่อนข้างมีความผันผวนของราคา
และหากมีการส่งลูกเรียนในต่างประเทศ ก็ย่อมมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัว
ที่กล่าวมานี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่กำลังเรียนหนังสืออีกด้วย
เพราะเหตุนี้การวางแผนในการสะสมเงินทุนเพื่อการศึกษาของลูกนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนอย่างจริงจังและเริ่มต้นให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
การเก็บออมเงินเพื่อให้ลูกได้ใช้สำหรับการศึกษาในแต่ละระดับชั้น ต้องมีการวางแผนประกันชีวิตและทุพพลภาพของคุณพ่อคุณแม่ควบคู่ไปด้วย
เพราะในระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่มีการเก็บสะสมเงินเพื่อการศึกษาให้กับลูกนั้น หากคุณพ่อคุณแม่เสียชีวิตไปก่อนหรือทุพพลภาพ ทำให้ไม่สามารถหารายได้เพื่อมาเก็บสะสมเงินให้ลูกได้ใช้ในการศึกษาเล่าเรียนได้อีกต่อไป ย่อมมีผลกระทบต่อโครงสร้างของชีวิตและครอบครัวทั้งของคุณพ่อคุณแม่เองและของลูกในอนาคต
การวางแผนประกันเพื่อการศึกษาลูก
ให้ประมาณค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกและค่าเล่าเรียนในแต่ละช่วงไว้ก่อน แล้วนำมารวมกันเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด
จากนั้นค่อยวางแผนเก็บออมและวางแผนประกันควบคู่กันไป โดยมีวิธีที่สามารถทำได้ตามตัวอย่างดังต่อไปนี้
1. ตั้งเป้าหมายในการออมเงินตามค่าใช้จ่ายที่คำนวณไว้ แล้วเลือกเก็บออมในสินทรัพย์ต่างๆตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับระยะเวลา เช่น
แบ่งสัดส่วนเงินเก็บออมในธนาคารหรือกองทุนตลาดเงินเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า
เก็บออมในตราสารหนี้เพื่อเป็นค่าเล่าเรียนในช่วง 3-7 ปีข้างหน้า
เก็บออมในหุ้นหรือกองทุนหุ้นเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนในช่วง 7 ปีให้หลังไปแล้ว
และซื้อประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา 5 ปี, 10 ปี, 15 ปี, หรือ 20 ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลานับจากปัจจุบันไปจนถึงวันที่ลูกจบการศึกษาทุกระดับชั้น
กำหนดทุนประกันตามค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกและค่าเล่าเรียนทั้งหมดที่คำนวณได้
2. ทำกรมธรรม์ประเภท Unit-Linked ซึ่งจะมีการแบ่งเบี้ยประกันเป็นส่วนของการทำประกันภัยและส่วนของการลงทุน
เบี้ยประกันที่เป็นส่วนของการลงทุนให้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุนในกรมธรรม์ตามข้อ 1. ซึ่งจะมีกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงหลากหลายเพื่อให้สามารถแบ่งสัดส่วนเงินในการเก็บออมได้
มีระบบจัดการลงทุนให้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการลงทุน และสามารถถอนเงินออกมาใช้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียนได้เปรียบเสมือนบัญชีกองทุนทั่วไป
เบี้ยประกันในส่วนของการทำประกันภัยจะถูกคำนวณเพื่อนำมาจ่ายตามทุนประกันที่กำหนดได้เอง
ให้กำหนดทุนประกันตามค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกและค่าเล่าเรียนทั้งหมดที่คำนวณได้
ระยะเวลาของกรมธรรม์ประเภท Unit-Linked จะไม่มีการกำหนดตายตัว สามารถขายหน่วยลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ตามระยะเวลาที่ต้องการใช้เงิน
วิธีการตามข้อ 1. จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของการลงทุนที่น้อยกว่าข้อ 2. แต่จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของการทำประกันภัยที่สูงกว่า
สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของโครงสร้างทางการเงินในครอบครัว ตามระยะเวลาในการจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูก และตามระดับความรู้ความเข้าใจในการลงทุนของท่านเองครับ